วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

Content Is Thinking, Thinking is Content


Content Is Thinking, Thinking is Content

เนื้อหาคือความคิด  .  ความคิดคือเนื้อหา

“สิ่งแรกที่สำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับการเรียนการสอนและหลักสูตรคือเนื้อหา จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาพบว่า เนื้อหาไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่าวิธีการคิด 

มีหลายวิธีที่จะเริ่มทำความเข้าใจความจริงที่ว่า เนื้อหาทั้งหมดนั้นหมายถึงวิธีการคิด (เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง) วิธีในการค้นหาบางสิ่งบางอย่าง และวิธีทำความเข้าใจบางสิ่งบางอย่างผ่านความคิด 
สามวิธีเริ่มต้นที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้”

 

ทุกเนื้อหาในรั้วโรงเรียนล้วนเป็นเนื้อหาในวิชาต่างๆ

 วิชาต่างๆคือการเรียนการสอน ในการเรียนการสอนนั้นมีสิ่งที่เราให้ความสนใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากจะค้นหาคำตอบ   ขอบเขตข้อมูลของการศึกษาทั้งหมดเป็นการค้นหาถึงคำตอบของสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่ มันไม่ทางเลยที่เราจะค้นหาคำตอบของบางสิ่งโดยไม่ใช้ความคิด และเราก็ไม่มีทางที่จะเรียนรู้วิธีการค้นหาคำตอบโดยไม่เรียนรู้วิธีการใช้ความคิดก่อน”
 

“มันไม่มีทางเลยที่เราจะเรียนเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์โดยปราศจากการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการหาคำตอบที่ถูกต้องให้กับคำถามและปัญหาทางคณิตศาสตร์



มันไม่มีทางเลยที่เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของประวัติศาสตร์โดยปราศจากการค้นหาคำตอบที่ถูกต้องและมีเหตุผลให้กับคำถามและปัญหาประวัติศาสตร์”
                 

“มันไม่มีทางเลยที่เราจะสามารถเรียนเนื้อหาของชีววิทยาโดยปราศจากการค้นหาคำตอบที่ถูกต้องและมีเหตุผลให้กับคำถามและปัญหาทางชีววิทยา

ทุกเนื้อหาวิชาเป็นรากฐานให้กับความเข้าใจในการค้นหาคำตอบที่ถูกต้องให้กับคำถาม เราเรียนเคมีเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเคมี (เรียนเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับเคมี) เราเรียนจิตวิทยาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับคน (เรียนเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาของมนุษย์) นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถเข้าใจทุกเนื้อหาวิชา”

 

ทุกเนื้อหาล้วนมีความเชื่อมโยงกับแนวความคิด

“ไม่มีทางใดที่จะเรียนรู้ส่วนประกอบต่างๆของเนื้อหาได้เลย โดยขาดการเรียนรู้ แนวความคิด ที่มีนิยามและโครงสร้างแล้ว และไม่มีทางใดที่จะเรียนรู้ แนวความคิด โดยผ่านการเรียนรู้ที่จะใช้มันในสิ่งต่างๆ

หากต้องการเรียนรู้แนวความคิดของการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องเรียนรู้วิธีการที่จะเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านั้นทำงานได้อย่างเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

หากต้องการเรียนรู้แนวความคิดของการเล่นเกมอย่างยุตธรรม ก็ต้องเรียนรู้วิธีการคิดของคนที่มีส่วนร่วมในเกมว่า มีเหตุผลอย่างไรเกี่ยวกับการเล่นเกมอย่างยุติธรรม”


 

“หากจะเรียนรู้แนวความคิดของนวนิยายก็ต้องรู้จักที่จำจำแนกความแตกต่างของนวนิยายออกจากเรื่องเล่นหรือเรื่องสั้นอื่นๆ



และหากจะเรียนรู้แนวความคิดของครอบครัว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะจำแนกความแตกต่างของครอบครัวออกจาก กรุ่มคน หรือสมาคม/ชมรม”
 


 



 
 
เนื้อหาต่างเกี่ยวข้องกันอย่างมีเหตุผล

เพื่อที่จะเข้าใจส่วนหนึ่งในจุดประสงค์ของเนื้อหา เราควรจะคิดพิจารณาในความสัมพันธ์ต่อส่วนอื่นๆของเนื้อหานั้นๆด้วย

ยกตัวอย่างเช่น เราจะเข้าใจว่าการทดลองวิทยาศาสตร์คืออะไร ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นๆ
เราจะเข้าใจว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คืออะไร ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจในข้อสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์นั้นๆ
เราจะเข้าใจว่าข้อสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์คืออะไร ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจในการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์นั้นๆ
เราจะเข้าใจการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ว่าคืออะไร ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจในการทดสอบมุมมองทางวิทยาศาสตร์
เราจะเข้าใจในการทดสอบมุมองทางวิทยาศาสตร์ว่าคืออะไร ก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจในการทดลองทางวิทยาศาสตร์

 



 “เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และมีตัวอย่างอื่นๆอีกมาก ที่จะเรียนรู้ในส่วนต่างๆของเนื้อหา ดังนั้น เราควรจะเข้าใจ (ตัวอย่างเช่น เหตุผลหรือการคิดที่เสร็จสิ้น) ความเชื่อมต่อระหว่างแต่ละส่วนของเนื้อหา เราจะไม่สามารถเรียนรู้เนื้อหานั้นๆได้เลย ถ้าปราศจากการกระบวนการคิดนี้

 ในประเด็นนี้ คุณครูหรือนักเรียนส่วนใหญ่ได้เข้าใกล้ในส่วนของเนื้อหา แต่ยังไม่ทราบถึงวิธีคิด ระบบสำหรับความคิด หรือระบบของการคิด ซึ่งการที่เป็นเช่นนี้ จะทำให้เกิดเป็นความทรงจำที่ถูกปกคลุมไปเรื่อยๆและจะเป็นการจำแบบผิดๆ เมื่อเนื้อหาได้เป็นไปในทิศทางที่ผิดนี้ จะไม่มีรากฐานสำหรับการเจริญเติบโตของความรู้ จะไม่มีรากฐานที่หยั่งลึกของการเกิดปัญญา และจะไม่มีรากฐานสำหรับความเข้าใจและการควบคุมในระยะยาว”


    
 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น